Monday, March 31, 2014

7. ออกเสียง Amazon


คำว่า "Amazon" ที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบอ่านกันว่า [อะเมซอน] จริงๆ แล้วออกเสียงว่า


  1. British English : [ˈæməzən] ; ['แอ๊เมอะเซิน]
  2. American English : [ˈæməzən], ['æməzɑːn] ; ['แอ๊เมอะเซิน] , ['แอ๊เมอะซาน]


อ้างอิง Oxford Advanced Learner's Dictionary

6. ออกเสียง Debris



ถ้าใครติดตามข่าวเรื่องเครื่องบิน Malaysia ที่หายไปจากข่าวต่างประเทศจะเห็นคำว่า "debris" ที่แปลว่า "ซากปรักหักพัง" บ่อยๆ คำๆ นี้เชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนต้องอ่านว่า [เดบริส] อย่างแน่นอน แต่แท้จริงแล้วคำนี้ถ้าให้ถูกต้องต้องออกเสียงว่า
  1. British English : [ˈdebriː], ['deɪbriː] ; ['เด้บรี]
  2. American English : [dəˈbriː] ; [เดอะบรี]


หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือไม่ออกเสียง /s/ นั้นเอง

อ้างอิง Oxford Advanced Learner's Dictionary

5. ออกเสียง Leopard







คำว่า "Leopard" ที่แปลว่า "เสือดาว" ถ้าจะออกเสียงให้ถูกต้องต้องออกว่า

  1. British English : ['lepəd] ;[เล๊ะเผิด]
  2. American English : ['lepərd] ; [เล๊ะเผิร์ด]


อ้างอิง Oxford Advanced Learner's Dictionary

4. ออกเสียง Menu



คำง่ายๆ ที่คนไทยพยายามพูดเท่าไหร่แล้วฝรั่งก็ไม่เข้าใจคือคำว่า "menu" ที่แปลว่า "เมนูอาหาร" คำๆ นี้ถ้าจะออกเสียงให้ถูกต้องต้องออกว่า


  1. British English : ['menju] ; [เม๊นยุ]
  2. American English : ['menju]; [เม๊นยุ]

**สำหรับคำนี้ออกเสียงเหมือนกันทั้ง British และ American

อ้างอิง Oxford Advanced Learner's Dictionary

3. British vs American English



Post นี้จะกล่าวถึงเรื่องความแตกต่างระหว่าง British และ American English ถามว่าทำไมผมต้องเขียนเรื่องนี้ สาเหตุก็เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในระดับหนึ่ง ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบที่กล่าวไปนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากจนถึงขั้นเป็นคนละภาษากัน แต่ทั้ง British และ American English ต่างก็มีจุดที่แตกต่างกันที่ผู้เรียนควรที่จะรู้ไว้

บางคนเข้าใจว่าภาษาอังกฤษมีเพียงแค่ British กับ American แต่ในความเป็นความจริงแล้วภาษาอังกฤษมีเป็นร้อยๆ แบบครับ ไม่ว่าจะเป็น Singaporean English, Indian English, Canadian English, Barbadian English ฯลฯ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคำศัพท์หรือแกรมม่าในแบบของตัวเอง หรือแม้แต่กระทั้งใน America หรือ ใน England เอง คนแต่ละท้องถิ่นก็มีสำเนียงและศัพท์ที่ใช้เฉพาะในท้องถิ่นของตัวเอง คล้ายๆ กับบ้านเราที่มีทั้งภาษาเหนือ ภาษากลาง ใต้และอีสาน

มาเริ่มกันเลยดีกว่า!


  • Differences in stress   ความแตกต่างในเรื่องของการเน้นพยางค์ (ในบางคำ)  


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)


อธิบาย
ตัวที่ถูก highlight สีแดง แสดงให้เห็นพยางค์ที่ได้รับการเน้น (stress) เราจะเห็นว่าทั้ง British และ American มีการเน้นพยางค์ที่ไม่เหมือนกัน


  • Difference in word ending (-ile) คำที่ลงท้ายด้วย [-ile] ออกเสียงต่างกัน



(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)


อธิบาย
British จะออกเสียงเป็น [-ายเยิล]  ตามตัวสะกด  ในขณะที่ American จะออกเป็น [เ-ิล]



  • Difference in the sound of [a] (some words)  ออกเสียงตัว [a] ต่างกันในบางคำ



(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อธิบาย
British จะออกเป็นเสียง [อา] ในขณะที่ American จะออกเป็นเสียง [แอ]

  • Difference in the sound of [r] ออกเสียงตัว [r] ที่อยู่กลางคำ/ท้ายต่างกัน
 

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อธิบาย
เสียง [r] ตรงกลางคำหรือท้ายคำของ British จะหายไป หรือจำง่ายๆ ก็คือเสียง [r] จะหายไปเมื่อตามหลัง vowels ในขณะที่ของ American ยังมีอยู่ไม่ว่า [r] จะอยู่ตำแหน่งไหนก็ตาม


  • Difference in -ization ending ต่างกันตรงคำที่ลงท้ายด้วย -ization


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

อธิบาย
British จะเขียน+ออกเสียงด้วย -isation ในขณะที่ American ใช้ -ization



  • The difference in 'T' sound in the middle of the words ออกเสียงตัว 'T' กลางคำต่างกัน



(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)


อธิบาย
British English จะอ่านเป็นเสียง /t/ ตามตัวสะกด แต่ American ออกเป็นเสียง /d/  เช่น better British ออกเป็น ['เบทเทอะ] แต่ American เป็น ['เบดเดอร์] 


  • The difference in some words ความหมายเหมือนกัน แต่ใช้คำใช้ต่างกัน


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)



สำหรับคนที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจสามารถคลิกไปดูหรือฟังเสียงตาม Links เหล่านี้ได้เลยนะครับ





Oxford Advanced Learner's Dictionary Link


ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไร ไม่เข้าใจตรงไหน หรือผู้เขียนอธิบายอะไรผิดไป comment ได้เลยนะครับ





เล็กๆ น้อยๆ จากผู้เขียน

HELLO!!

สวัสดีครับทุกคน! ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเปิด blog เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสักที ก่อนหน้านี้เวลามีอะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษแล้วอยากจะแบ่งปันให้คนอื่นรู้ผมมักจะ post บน facebook บ่อยๆ แต่ด้วยความที่ไอเราเองก็กลัวคนจะรำคาญกันก็เลยเปิดเป็น blog นี้ขึ้นมาแทน จุดประสงค์ของการจัดตั้ง blog นี้ขึ้นมาก็เพื่อแบ่งปันความรู้ภาษาอังกฤษและประสบการณ์ที่ผมมีให้กับผู้อ่าน จริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนเก่งอะไรมาก แต่ด้วยความเป็นคนที่มีความรักและสนใจในภาษาอังกฤษก็เลยมีความรู้สึกอยากจะแบ่งปันอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ผมหวังว่าสิ่งที่ผม post ลงใน blog นี้คงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ 


อยากอ่านเรื่องอะไรคลิกเลือกได้ทางซ้ายมือเลยนะครับ :)




1. English Phonetics

การออกเสียงในภาษาอังกฤษ

                ขอเริ่มเปิด Blog ด้วยเรื่องนี้ก็ละกันเนื่องจากผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ การจะเรียนภาษาๆ หนึ่งนั้น ผู้เรียนควรที่จะฝึกเรื่องของการออกเสียงพยัญชนะและสระก่อน เพราะถ้าเรารู้ศัพท์ รู้ประโยค แต่ออกเสียงไม่ถูกชาวต่างชาติเองก็อาจจะฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

                ตัวอ่านภาษาอังกฤษจะมีสองแบบ อ่านแบบ IPA (International Phonetic Alphabet) กับแบบไทยยกตัวอย่างเช่น คำว่า Tweezers ที่แปลว่า แหนบ (หนีบขนจุกแร้) ถ้าตัวอ่านแบบ IPA จะเป็น   [ˈtwiːzərz]   อ่านแบบตัวอ่านไทยจะเป็น [ทวิซเซอรซ์ผู้เขียนอยากให้ผู้เรียนทุกคนอ่านแต่แบบ IPA มากกว่าเพราะเราจะสามารถออกเสียงได้ถูกต้องกว่าการอ่านแบบไทย จริงๆ แล้วจุดประสงค์ที่ผู้เขียนเขียน post นี้ก็เพื่อจะให้ผู้อ่านอ่านตัวอ่านแบบ IPA เป็นนี่แหละ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า (คลิกที่ภาพเพื่อขยายรูป)


รูปภาพจาก http://inmaculadaschoolchatroom.blogspot.com/2013/08/phonetics.html


  1. Consonant   หมายถึง พยัญชนะ
  2. Vowel         หมายถึง สระ
  3. Diphthong     หมายถึง สระผสม 
**เพิ่มเติม   
  • ตัว ː   เหมือน Colon หมายถึง ออกเสียงยาว
  • ตัว  '    Apostrophe หมายถึง stress เสียงตรงคำนั้น 


    คำที่ถูกครอบด้วยสี่เหลี่ยมสีแดงคือ vowel ที่ปรากฏแค่ในเฉพาะ British English  ถามว่าแล้วคำพวกนั้น American English ใช้ยังไง คำว่า Got American จะออกเป็น [gɑːtและคำว่า Go จะออกเป็น [goʊแทน  ส่วนพวกที่ครอบอยู่ในสี่เหลี่ยมสีม่วงๆ (หรือสีน้ำเงินหว่า?) อันนั้นแหละคือหน้าตาของ diphthong  จริงๆ แล้วเรื่องการออกเสียงนี่ต้องสอนตัวต่อตัวถึงจะดี แต่ผู้เขียนคงไปสอนทุกคนที่อ่าน Blog นี่หมดไม่ได้ ดังนั้นผู้เขียนเลยแนบ Links เพื่อให้ผู้อ่านไปฝึกออกเสียงกัน โดย Links จะแบ่งเป็นแบบ American และ British

    American
    1.  Consonants
    2. Vowels 
    3. Diphthongs
    British
    1. Consonants
    2. Vowels
    3. Diphthongs


    ใครมีข้อสงสัยอะไร ไม่เข้าใจตรงไหน หรือ มีตรงไหนที่ผู้เขียนอธิบายผิดไป comment ได้เลยนะครับ

      2. ออกเสียง Past tense กับ นามพหูพจน์

      Post นี้ยังคงเป็นเรื่องของ Phonetics ซึ่งวันนี้ผู้เขียนนำเอาเรื่องของการอ่านออกเสียงพวก Verb ที่เติม -ed / -es / s หรือ Noun ที่เติม -s ทั้งหลายมาบอกเล่าให้ผู้อ่านกัน บางคนอาจจะบอกว่า "ก็ไม่เห็นยากนี่ finish เติม -ed (finished) ก็อ่าน [ฟินิชเชด] ไปเลย" ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ท้าทายอ่ะเด้ คิคิ

      เรื่องของการอ่านพวก Verb/Noun ที่เติม suffixes ทั้งหลายแหล่เข้าไปนั้นจริงๆ  ก็ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่ แต่ก่อนที่เราจะรู้ว่ามันต้องออกเสียงยังไงนั้น อย่างแรกเลยที่ผู้อ่านต้องรู้ก็คือ consonant ตัวไหน เป็น Voiced และ Voiceless 

      *Voiced = เสียงสั่น (เวลาออกเสียง voiced consonants ถ้าเอามือจับตรงคอจะรู้สึกได้ถึงการสั่น)
      *Voiceless = เสียงไม่สั่น (ขอนุญาตแปลอย่างงี้่ก็ล่ะกัน) (เวลาออกเสียง voiceless consonants ถ้าเอามือจับตรงคอจะไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนในคอ)


      รูปภาพจาก http://factsoflifeandlanguage.tumblr.com/page/2

      หลังจากที่ผู้อ่านรู้แล้วว่า consonant ตัวไหนเป็น voiced และ voiceless เราก็มาเข้าเรื่องการออกเสียงเลยดีกว่า!
      • เริ่มกันด้วยเรื่องของ Noun ที่เป็นพหูพจน์ (plural) หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า Noun เติม /s/  (คลิกที่รูปเพื่อขยายใหญ่)


      อธิบาย
      * ถ้า consonant ตัวสุดท้ายเป็น voiceless จะออกเป็นเสียง [s]
      * ถ้า consonant ตัวสุดท้ายเป็น voiced จะออกเป็นเสียง [z]
      * ถ้า consonant ตัวสุดท้ายเป็น [s], [z], [tʃ], [ʃ] หรือ [dʒ] จะออกเป็น [ez]

      • Verb ที่เติม -ed / es / s  (คลิกที่รูปเพื่อขยายใหญ่)

      อธิบาย
      * ถ้า consonant ตัวสุดท้ายเป็น voiceless จะออกเป็นเสียง [t]
      * ถ้า consonant ตัวสุดท้ายเป็น voiced จะออกเป็นเสียง [d]
      * ถ้า consonant ตัวสุดเป็น [d] หรือ [t] จะออกเป็นเสียง [ed/ɪd]

      ถ้ายังไม่เข้าใจไปดู Videos เพิ่มเติมกันเลย

      ออกเสียง นามพหูพจน์ 

      ออกเสียง Past tense


      Oxford Advanced Learner's Dictionary Link 

      ใครมีข้อสงสัยอะไร ไม่เข้าใจตรงไหน หรือ ผู้เขียนอธิบายอะไรผิดไป comment ได้เลยนะครับ